วัคซีนปอดอักเสบในผู้สูงอายุจำเป็นหรือไม่?
โรคปอดอักเสบเป็นโรคที่พบได้มากในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส ที่มีโอกาสที่จะอาการรุนแรง และอาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นการรับวัคซีนปอดอักเสบในผู้สูงอายุจึงมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคปอดอักเสบ และหากมีการติดเชื้อก็จะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้จึงควรฉีดวัคซีน
ปอดอักเสบ / การติดเชื้อที่ปอดซึ่งพบได้เป็นส่วนใหญ่จากเชื้อ ดังนี้
เชื้อแบคทีเรีย | เชื้อไวรัส[2] | เชื้อรา[4] |
|
|
|
|
|
|
[1] ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบเฉียบพลันและรุนแรง และเป็นเชื้อสาเหตุของโรคปอดอักเสบที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและเด็กอายุต่ำกว่า5ปี
[2] เชื้อไวรัสมักเป็นทางเดินหายใจส่วนบนให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียตามมา
[3] สามารถเกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่อาการมักรุนแรงในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ
[4] ซึ่งจะพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ
โรคปอดอักเสบกับวัณโรคปอดต่างกันอย่างไร?
โรคปอดอักเสบและวัณโรคปอดจัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ สาเหตุของวัณโรคปอดเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ ไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium tuberculosis) ลักษณะเด่นของวัณโรคปอดคือ ไอมีเสมหะมีเลือดปน หรือมีเลือดสด ไอเรื้อรังมากกว่า 2 สัปดาห์ มีไข้ต่ำ ๆ เรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ มีเหงื่อออกในตอนกลางคืน น้ำหนักลด และมักพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น HIV ดังนั้นผู้ที่มีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์ เพื่อการวินิจฉัย และรักษาที่ถูกต้องต่อไป
ส่วนโรคปอดอักเสบมีสาเหตุการเกิดหลายปัจจัยทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา โดยลักษณะเด่นของโรคปอดอักเสบ คือ ไข้ ไอมีเสมหะ หอบ และมีอาการเฉียบพลัน
การป้องกันโรคปอดอักเสบ
โรคปอดอักเสบบางชนิดเป็นโรคที่ป้องกันได้ โดยมีแนวทางป้องกันคือ
- ฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบรุนแรงและเฉียบพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก < 5 ปี ผู้สูงอายุ > 65 ปี ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ไตวาย โรคตับเรื้อรัง ผู้ที่ไม่มีม้าม หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่นโรคเบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง ผู้ที่มีกาผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมหรือน้ำไขสันหลังรั่ว
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ที่มีน้ำหนัก > 100 kg
- ในผู้สูงอายุ > 65 ปี สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด ( High Dose)
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
- รักษาสุขอนามัย ป้องกันการสัมผัสหรือการได้รับเชื้อ ล้างมือเป็นประจำ
วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอคคัสมีกี่ชนิด และแตกต่างกันอย่างไร
การฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบเป็นหนึ่งในวิธีที่ป้องกันโรคปอดอักเสบจากนิวโมคอคคัสซึ่งมีประมาณ 90 สายพันธ์ุ จึงมีการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันปอดอักเสบจากสายพันธ์ุที่พบได้บ่อย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการเกิดโรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มักมีอาการรุนแรงหากมีการติดเชื้อปอดอักเสบ โดยวัคซีนปอดอักเสบมีด้วยกัน คือ ชนิด คอนจูเกต (Conjugate, PCV) วัคซีนปอดอักเสบ 13 สายพันธุ์ (PCV13) , วัคซีนชนิด15 สายพันธุ์ (PCV 15) และวัคซีนปอดอักเสบ 23 สายพันธุ์ (PPSV23) ชนิดโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide Vaccine)
วัคซีนชนิดคอนจูเกต (Conjugate, PCV) จะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายได้ดีกว่าและเป็นสายพันธ์ุที่พบได้บ่อยกว่า ชนิดโพลีแซคคาไรด์(Polysaccharide Vaccine PPSV) จึงควรฉีดก่อน
วัคซีนปอดอักเสบ 13 สายพันธุ์ (PCV13) และวันซีนชนิด 15 สายพันธุ์ (PCV 15) สามารถใช้ฉีดแทนกันได้
- ตามคำแนะนำสมาคมโรคปอดติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2567 เด็ก < 5 ปี ควรรับวัคซีน PCV และควรฉีด 4 เข็ม เมื่ออายุ 2,4,6 และ 12-15 เดือน
- ในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และกลุ่มอายุตั้งแต่ 2-64 ปี ที่มีโรคประจำตัว โรคเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันต่ำ และไม่เคยได้รับวัคซีนปอดอักเสบมาก่อนควรฉีดด้วย PCV แล้วตามด้วย PPSV23 โดยห่างกันอย่างน้อย 8 สัปดาห์
วัคซีนปอดอักเสบ 15 สายพันธุ์ (PCV15)
วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ 15 สายพันธุ์ หรือ PCV 15 เป็นวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส ชนิดคอนจูเกต ชนิดใหม่ ใช้สำหรับป้องกันการติดเชื้อนิวโมคอคคัส 15 สายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์ 22F และ 33F นั้น เป็นสายพันธุ์ที่เพิ่มเติมมาจาก PCV 13
วัคซีนปอดอักเสบ 23 สายพันธุ์ (PPSV23)
ฉีดเพื่อครอบคลุมป้องกันสายพันธ์ุ ของนิวโมคอคคัสให้มากขึ้น
ทั้งนี้การฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัสทั้ง 2 ชนิด ควรฉีดตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของวัคซีน
ผลข้างเคียงจากวัคซีนปอดอักเสบ
อาจมีรอยแดงหรือบวมตรงบริเวณที่ฉีด มีไข้ต่ำ ๆ ง่วงนอน ซึม ไม่อยากอาหาร หงุดหงิดหรือเหนื่อย นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ส่วนใหญ่ผลข้างเคียงมักไม่ค่อยรุนแรง และพบได้ไม่บ่อยอาการเหล่านี้แตกต่างกันออกไปแล้วแต่บุคคล และมักหายได้เองในระยะเวลา 2-3 วัน
วิธีการรักษาโรคปอดอักเสบ
หากมีอาการ ไข้ ไอ หอบ ควรสงสัยปอดอักเสบและควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง และยังเป็นการป้องกันอาการและเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง โดยแนวทางการรักษาแพทย์อาจพิจารณาการรักษาดังต่อไปนี้
- การใช้ยาปฏิชีวนะ (antibiotic drug) ผู้ป่วยควรได้รับยา การให้ยาปฏิชีวนะเร็วที่สุด หลังได้รับการวินิจฉัยว่าสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย
- การรักษาประคับประคองตามอาการ ดูแลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ดูแลให้ได้รับสารน้ำ อาหารที่มีเกลือแร่เพียงพอและเหมาะสม ในผู้ป่วยที่ปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสอาจพิจารณาให้ยาลดไข้ ยาขยายหลอดลม ยาละลายเสมหะ ตามคำแนะนำของแพทย์
- รักษาภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่มักจะเกิดขึ้นในกรณีของกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการรุนแรงมาก เช่น ภาวะหายใจล้มเหลว
ดังนั้นการดูแลป้องกันตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น การหมั่นดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และควรเข้ารับวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ
บทความโดย นายแพทย์ ชลทรัพย์ แชมาร์ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ การเดินทางและท่องเที่ยวและอายุรศาสตร์เขตร้อน โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์
แพ็กเกจแนะนำ
บทความสุขภาพอื่นๆ
VDO ความรู้สุขภาพ
บทความโดย
นายแพทย์ ชลทรัพย์ แชมาร์
แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ การเดินทางและท่องเที่ยวและอายุรศาสตร์เขตร้อน โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม/นัดหมาย
แผนกตรวจสุขภาพ ชั้น 2
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นเเนล รัตนาธิเบศร์
โทร . 02 -594-0020 ต่อ 1276 , 1277